สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานห้องคัดกรองและห้องตรวจเชื้อ แก่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด – 19

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานห้องคัดกรองและห้องตรวจเชื้อ แก่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาจัดตั้ง “กองทุนชัย พัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่างๆ )” เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ในการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์และสิ่งของที่มีความจาเป็นในการรักษาผู้ป่วยโควิด – 19
ต่อมา ได้พระราชทานพระราชานุมัติให้มูลนิธิชัยพัฒนาใช้งบประมาณจาก “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 ฯ” จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ท่ีจาเป็น โดยเร่ิมด้วยการจัดหาเครื่องมือป้องกันให้บุคลากรทางการแพทย์ก่อน เพราะ บุคลากรทางการแพทย์ เปรียบเสมือนหน่วยหน้าและเป็นกาลังหลักในการดูแลรักษาผู้ป่วย จึงได้พระราชทานห้อง คัดกรองและห้องตรวจเชื้อ แบบใช้ภายนอกอาคาร (Modular Screening and Swab Unit) และห้องตรวจเชื้อแบบเคลื่อนที่ (Mobile Isolation Unit) แก่โรงพยาบาล โดยทรงให้จัดรูปแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของ แต่ละโรงพยาบาล
โดยในลำดับแรก ได้พระราชทานห้องคัดกรองและห้องตรวจหาเชื้อ แบบใช้ภายนอกอาคาร แก่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น (ซึ่งจะจัดสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบในวันที่ 22 มิถุนายน 2563) และได้พระราชทานห้องตรวจเชื้อ แบบเคลื่อนที่ แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา ต่อมาได้ พระราชทานห้องตรวจเชื้อ แบบเคลื่อนที่ เพิ่มเติมแก่โรงพยาบาลอีก 10 แห่ง รวมห้องคัดกรองและห้องตรวจเชื้อ แบบใช้ภายนอกอาคาร และห้องตรวจเชื้อ แบบเคลื่อนที่ ท่ีได้พระราชทานรวมทั้งสิ้น 14 แห่ง
นายลลิต ถนอมสิงห์ กรรมการและรองเลขาธิการ ห้องคัดกรองและห้องตรวจเชื้อ พระราชทาน จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้แก่ โรงพยาบาลฯ โดยมีนายเจริญฤทธ์ิ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยศาสตราจารย์คลินิก
นายแพทย์ นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ศ.นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นผู้รับมอบ
ห้องคัดกรองและห้องตรวจเชื้อดังกล่าว เป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ SCG HEIM และ Living Solution โดยเอสซีจี ประกอบด้วยห้องตรวจคัดกรอง (Modular Screening Unit) ใช้ภายนอกอาคาร แบบ มาตรฐาน ขนาด 3 ห้อง และห้องตรวจหาเชื้อ (Modular Swab Unit) ใช้ภายนอกอาคาร แบบมาตรฐาน ขนาด 3 ห้อง
สาหรับห้องคัดกรอง (Modular Screening Unit) จะแบ่งพื้นที่ของแพทย์และพยาบาลที่ทาหน้าที่ตรวจ คัดกรอง ออกจากพื้นที่ของผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยบุคลากรทางการแพทย์จะปฏิบัติงานอยู่ภายใน Modular Unit ที่ปิดสนิท มีประตูเข้าออก 2 ชั้น เพื่อป้องกันอากาศรั่วไหล และพูดคุยซักประวัติของผู้ที่มีความ เสี่ยงผ่านกระจกที่มีอุปกรณ์สื่อสาร (Intercom) และภายในห้องคัดกรอง จะถูกปรับความดันอากาศให้เป็นความ
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์นายกกิตติมศักดิ์
และองค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา
โดยในวันศุกร์ ที่ 12 มิถุนายน 2563 เวลา 15.00 น.
มูลนิธิชัยพัฒนา ได้เดินทางมายังโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เพื่อส่งมอบ

ดันบวก (Positive pressure) ซึ่งเป็นการสร้างให้เกิดแรงดันอากาศภายในห้องที่ผลักอากาศเสียออก และเพิ่ม Bi- polar Ion เพื่อจับเข้ากับโมเลกุลของเชื้อไวรัสที่อาจหลุดรอดเข้ามา จึงช่วยเพิ่มความมั่นใจในการปฏิบัติงาน สาหรับบุคลากรทางการแพทย์ ขณะที่พื้นที่ของผู้ที่มีความเสี่ยงที่เข้ารับการตรวจจะเป็นพื้นที่โล่ง มีอากาศถ่ายเท สะดวก เพื่อให้เกิดการระบายอากาศ และลดโอกาสการติดเชื้อ
ส่วนห้องตรวจหาเชื้อ (Modular Swab Unit) ในขั้นตอนนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูง เนื่องจากขณะที่ตรวจ ผู้ที่ มีความเสี่ยงในการติดเชื้ออาจจะไอหรือจามทาให้เชื้อไวรัสฟุ้งกระจายออกมา ดังนั้น การออกแบบห้องตรวจจึง จาเป็นต้องมีความรัดกุม โดยบุคลากรทางการแพทย์จะปฏิบัติงานอยู่ภายในห้องตรวจหาเชื้อที่ถูกปรับความดัน อากาศให้เป็นความดันบวก (Positive pressure) ซึ่งเป็นการสร้างให้เกิดแรงดันอากาศภายในห้องที่ผลักอากาศ เสียออก และเพิ่ม Bi-polar Ion เพื่อจับเข้ากับโมเลกุลของเชื้อไวรัสที่อาจหลุดรอดเข้ามา ขณะที่พื้นที่ของผู้ที่มี ความเสี่ยงที่เข้ารับการตรวจ จะถูกแยกออกมาและปรับความดันอากาศให้เป็นกึ่งลบ (Semi-Negative Pressure) หรือความดันลบ (Negative Pressure) เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อไวรัส พร้อมเพิ่มการใช้แสงยูวีที่มีความ เข้มข้นสูงพิเศษเพื่อฆ่าและทาลายเชื้อโรคต่าง ๆ (UV Germicide) ทุกครั้งหลังการใช้งานห้อง การดาเนินการเก็บ ตัวอย่าง (Swab) จะทาผ่านแผ่นอะคริลิกที่เจาะเป็นช่อง โดยแพทย์สามารถสอดมือผ่านช่องที่มีถุงมือคลุมด้วย พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเพื่อทาการเก็บตัวอย่างให้กับผู้ที่เข้ารับการตรวจ เพื่อลดความเสี่ยงในการปนเปื้อน จากผู้ที่เข้ารับการตรวจ ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการทั้งหมดจะแยกเป็นส่วนย่อย ๆ (Cell) เพื่อให้สามารถแยกปิดได้ใน กรณีฉุกเฉินที่มีการรั่วระหว่างห้องบุคลากรทางการแพทย์กับห้องผู้เข้ารับการตรวจอีกด้วย
ห้องตรวจคัดกรองและห้องตรวจเชื้อดังกล่าว สามารถรองรับจานวนผู้ที่เข้ามาตรวจคัดกรองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งใช้เวลาติดตั้งเพียง 3 วัน ทาให้สามารถรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีจานวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นได้อย่าง ทันท่วงที และช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์และผู้เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาล นอกจากนี้ ห้องคัดกรองและตรวจผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ได้ถูกแยกออกจากตัวอาคารโรงพยาบาล จึงช่วย ป้องกันการติดเชื้อให้แก่ทีมแพทย์ พยาบาล ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งยังสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้ป่วย อื่น ๆ ได้อีกทางหนึ่ง
ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ พระราชทานสิ่งของจาเป็นเพิ่มเติมสาหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ประกอบด้วย ชุด Personal Protective Equipment (PPE) แอลกอฮอล์สาหรับทาความสะอาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ และ เจลแอลกอฮอล์สาหรับฆ่าเชื้อ โรค ให้แก่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ด้วย
โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิชั้นนาของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พุทธศักราช 2499 ในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นโรงเรียนแพทย์แห่งที่ 3 ของ ประเทศ ตั้งอยู่บนถนนอินทวโรรส ตาบลศรีภูมิ อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโรงพยาบาลที่มีขนาด 1,400 เตียง ถูกวางให้เป็นโรงพยาบาลหลักในการรับผู้ป่วยหนักจากทางจังหวัด และรองรับผู้ป่วยจาก 17 จังหวัด ภาคเหนือ อีกทั้งได้รับผู้ป่วยโควิด-19 เข้ามารักษาครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2563
ผู้สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน “การให้” โดยบริจาคเงินสมทบมูลนิธิชัยพัฒนา “กองทุนชัยพัฒนาสู้ ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่างๆ )” เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ในการจัดซื้อวัสดุ อุปกรณ์และสิ่งของที่มีความจาเป็นในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ผ่านช่องทางธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสวน จิตรลดา บัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 067-300487-3 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 0 2447 8585-8 ต่อ 109, 121 และ 259