mourning ribbon

หมั่นสังเกตลูกนอนกรน เสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ

หมั่นสังเกตลูกนอนกรน เสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ

คุณพ่อคุณแม่อย่าชะล่าใจ หากลูกน้อยนอนกรน เสียงกรนบ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายของลูกน้อยในขณะนอนหลับ นอกจากนั้นการนอนหายใจติดขัด มีเสียงดังนั้น เป็นอาการบ่งบอกว่า ทางเดินหายใจส่วนต้นมีการตีบแคบ ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ในขณะนอนหลับ จึงส่งผลทำให้ขาดออกซิเจนขณะหลับ ก่อให้เกิดการทำงานอย่างหนักของระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบเผาผลาญอาหาร ตลอดจนส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กที่กำลังเจริญเติบโตอีกด้วย

การนอนกรนหรือการนอนเสียงดังมีอันตรายกับเด็กอย่างไร
ในกรณีที่เด็กมีอาการนอนกรน และมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจร่วมด้วย จะส่งผลกระทบหลายอย่าง โดยแบ่งออกเป็น 4 ระบบ ดังนี้
1.ระบบหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากเด็กที่มีอาการนอนกรนในตอนกลางคืนจะมีภาวะพร่องออกซิเจน จะทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย ส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูง และจะมีความดันเลือดในปอดสูงตามมา หากไม่ได้รับการรักษาอาจจะเกิดภาวะหัวใจวายถึงขั้นเสียชีวิตได้
2.ระบบการเผาผลาญของร่างกาย ในเด็กที่มีอาการนอนกรนและมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ จะพบได้ใน 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 คือในเด็กที่มีการเจริญเติบโตช้า หรือเตี้ยแคระแกร็น ในเด็กกลุ่มนี้เกิดจากการที่มีภาวะนอนกรน มีภาวะพร่องออกซิเจนตอนกลางคืน จะมีฮอร์โมนตัวหนึ่งที่หลั่งเรียกว่า โกรทฮอร์โมน หรือฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตหลั่งได้ไม่ดี ทำให้เด็กในกลุ่มนี้เจริญเติบโตได้ช้ากว่าเพื่อนรุ่นวัยเดียวกัน
กรณีที่ 2 เด็กที่มีภาวะโรคอ้วน จะมีเนื้อเยื่อไขมันสะสมในปริมาณมาก โดยมักสะสมบริเวณรอบคอ ช่องอก และช่องท้อง ซึ่งตัวเนื้อไขมันจะมีการหลั่งสารตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า เลปติน ซึ่งมีความสำคัญเกี่ยวกับระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย ทำให้การเผาผลาญของร่างกายผิดปกติไป ในเด็กกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงต่อการที่จะดื้ออินซูลิน มีความดันโลหิตสูง ตลอดจนมีภาวะไขมันในเลือดสูง
3.การเจริญเติบโตและพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็ก หากขาดออกซิเจนตอนกลางคืน จะมีผลต่อการเรียนรู้ ความคิด ความจำ ตลอดจนการจัดการตัวเอง โดยเด็กจะแสดงอาการได้ 2 แบบ คือ หากเป็นเด็กเล็กจะมีอาการพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ซุกซน มีสมาธิสั้นหรืออยู่ไม่นิ่ง หากเป็นเด็กโต จะมีอาการง่วงนอนตอนกลางวันจะทำให้การเรียนรู้หรือการเรียนในระหว่างวันไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ส่งผลทำให้มีการเรียนตกต่ำได้
4.คุณภาพชีวิตทั้งเด็กและผู้ปกครอง หากเด็กมีอาการนอนกรน ตื่นมาจะรู้สึกไม่สดชื่น ไม่มีสมาธิ มีพฤติกรรมก้าวร้าวอยู่ไม่นิ่ง จะทำให้ครอบครัวมีความกังวล จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของทั้งครอบครัว

ในภาวะนอนกรน เสียงกรนที่ดังเกิดจากอะไร
เสียงกรน เป็นเสียงที่เกิดจากลมผ่านทางเดินหายใจส่วนต้นที่มีการตีบแคบในขณะนอนหลับ ซึ่งทางเดินหายใจส่วนต้นเริ่มตั้งแต่จมูก โพรงจมูก คอหอย โคนลิ้นไปจนถึงกล่องเสียง หากบริเวณไหนที่มีการตีบแคบ เนื้อเยื่อบริเวณนั้นจะมีการสั่นสะเทือน จึงทำให้เกิดเป็นเสียงกรนเกิดขึ้น และการที่ทางเดินหายใจมีการตีบแคบจะส่งผลให้อากาศที่เข้าผ่านทางจมูกเข้าสู่ปอดลดลง ทำให้การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน และการแลกเปลี่ยนก๊าซเสียหรือที่เรียกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ทำได้ไม่ดี

ภาวะนอนกรนจะแบ่งตามระดับความรุนแรงออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
1.การนอนกรนแบบธรรมดา (Primary snoring) จะมีอาการเสียงกรนเพียงอย่างเดียว ภาวะการนอนหลับปกติ ไม่มีการสะดุ้งตื่นตอนกลางคืน การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ปกติ
2. ภาวะที่มีแรงต้านในทางเดินหายใจส่วนบน (Upper airway resistance syndrome) มีทางเดินหายใจเริ่มตีบแคบมากขึ้น ลมจะผ่านจากจมูกเข้าสู่ปอดได้ลดลง นอกจากจะมีอาการกรนแล้ว เด็กจะมีอาการหายใจที่แรงขึ้นเพื่อต้องการที่จะเอาลมเข้าในปอดมากขึ้น อาจจะมีอาการสะดุ้งตื่นในตอนกลางคืน นอนหลับกระสับกระส่ายได้ แต่การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ยังคงปกติ
3. ภาวะที่มีการหายใจแผ่ว (Obstructive hypoventilation) มีการอุดกั้นทางเดินหายใจเป็นครั้งๆ แต่ไม่สมบูรณ์ จะทำให้ลมเข้าสู่ปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซได้บ้างแต่ทำได้ลดลงกว่าระดับที่ 2 เด็กจะมีอาการนอนกรน มีคุณภาพการนอนหลับที่ลดลง มีอาการสะดุ้งตื่นนอนตอนกลางคืนทำให้เด็กหลับไม่สนิท เป็นภาวะที่เริ่มมีการพร่องของระดับออกซิเจนในขณะที่มีการนอนหลับ
4. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive sleep apnea) ในภาวะนี้จะมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจอย่างสมบูรณ์ ทำให้เด็กมีอาการนอนกรน มีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี เป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด มีการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ผิดปกติ
โดยความชุกสำหรับเด็กที่มีอาการนอนกรนปกติธรรมดา จะพบประมาณร้อยละ 4-12 และในเด็กที่มีอาการรุนแรงจนกระทั่งมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับจะพบได้ร้อยละ 1-4 ซึ่งถือว่าไม่น้อย

สาเหตุของการนอนกรนในเด็ก
โดยหลักแล้วสาเหตุที่สำคัญคือ ต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต รองลงมาคือภาวะอ้วน
-ต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต พบบ่อยในเด็กอายุประมาณ 2-8 ปี เป็นช่วงที่เด็กไปโรงเรียน เป็นวัยกำลังเล่นและเรียน มีโอกาสเกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจค่อนข้างบ่อย เป็นหวัด บางรายเป็นภูมิแพ้ ซึ่งต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณต่อมทอนซิลที่อยู่ในปาก หรือต่อมอะดีนอยด์ที่อยู่ด้านหลังจมูกจะมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้น ขยายขนาดมากขึ้น ยิ่งทำให้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากขึ้น ส่งผลทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ
-รองลงมาเป็นภาวะอ้วน มักจะพบในเด็กโต ภาวะอ้วนต่อมไขมันจะสะสมอยู่บริเวณรอบคอ รอบช่องอก และรอบช่องท้อง การที่ต่อมไขมันสะสมในปริมาณมากอยู่บริเวณรอบคอ ทำให้เกิดการตีบแคบของทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป ประกอบกับไขมันต่างๆที่อยู่บริเวณช่องอกกับช่องท้องจะทำให้การหายใจในช่วงการนอนหลับหายใจไม่สะดวกมากขึ้น
-ประวัติในครอบครัวมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ เด็กอาจจะมีโอกาสที่จะมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับได้มากกว่าในครอบครัวที่ไม่มีประวัติดังกล่าว
-เชื้อชาติมีส่วนสำคัญ ทั้งในกลุ่มที่เป็น African-American และ Asian จะมีโอกาสที่จะมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับได้มากกว่า Caucasian เนื่องจากลักษณะโครงสร้างทางใบหน้าที่แตกต่างกัน
-ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางอย่างจะมีโอกาสเกิดโรคอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับได้มากกว่าปกติ เช่น โครงสร้างใบหน้าผิดปกติ กลุ่มผู้ป่วยที่เป็นดาวน์ซินโดรม หรือกลุ่มผู้ป่วยโรคระบบประสาท และกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น

การสังเกตอาการในเด็กที่มีอาการนอนกรน หรือมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ
สามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
1.อาการในช่วงกลางคืน เด็กจะมีอาการนอนกรน หรือบางรายมีนอนกรนจนหยุดหายใจ คือไม่ได้ยินเสียงหายใจ หลังจากที่หยุดหายใจซักพักจะมีเสียงเฮือกเกิดขึ้น หรือการสำลักน้ำลายขณะที่นอนหลับ นอนอ้าปากหายใจ นอนดิ้นตลอดเวลา หรือมีภาวะปัสสาวะรดที่นอน เป็นต้น
2.อาการในช่วงกลางวัน เด็กบางรายเมื่อตื่นมาตอนเช้าจะมีอาการปวดศีรษะโดยไม่สามารถบอกตำแหน่งได้ แต่พอช่วงสายๆอาการปวดศีรษะดังกล่าวจะหายไปได้เอง ในเด็กบางรายที่นอนกลางคืนหายใจไม่สะดวกและอ้าปากหายใจ หรือนอนในท่าแหงนคอ เมื่อตื่นเช้ามาจะมีอาการปากแห้งคอแห้ง หิวน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเช้า

การตรวจและการวินิจฉัย
หากพบเด็กที่มีภาวะนอนกรน และสงสัยว่ามีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ อันดับแรกแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ประเมินลักษณะโครงสร้างใบหน้า ตรวจต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ ตลอดจนประเมินอาการที่แสดงถึงภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่เกิดจากภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ

สำหรับการตรวจวินิจฉัย
การตรวจการนอนหลับที่เป็นมาตรฐาน คือการตรวจการนอนหลับแบบ Sleep test หรือเรียกอีกอย่างว่า Polysomnography (PSG) ซึ่งการตรวจจะสามารถบอกได้ถึงลักษณะการนอนหลับว่าเป็นการนอนหลับลึก หลับตื้น หรือหลับฝัน สามารถประเมินลักษณะรูปแบบการหายใจได้ ประเมินภาวะพร่องออกซิเจนตอนกลางคืน และภาวะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ว่าคั่งหรือไม่ขณะนอนหลับได้

การรักษา
1.ผ่าตัดต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ จะพิจารณาในกรณีที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับในระดับปานกลางขึ้นไปจนถึงรุนแรง ซึ่งในกรณีนี้จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางหู คอ จมูก ในการทำการผ่าตัดรักษา
2.การรักษาด้วยยา จะพิจารณาในกรณีที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจในระดับเล็กน้อยไปจนถึงปานกลางหรือจะใช้ยาในระหว่างที่รอการผ่าตัด ซึ่งยาจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1) Intranasal steroid เป็นยาพ่นจมูกสเตียรอยด์
2) Leukotriene receptor antagonist เป็นยาที่ยับยั้งไม่ให้สาร leukotriene จับกับตัวรับบนต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ เป็นชนิดรับประทาน
3. การรักษาโดยการใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก พิจารณาในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา 2 กลุ่มดังกล่าวข้างต้น หรือหลังทำการผ่าตัดแล้วยังมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจหลงเหลืออยู่ รวมถึงผู้ป่วยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ที่จะผ่าตัด ผู้ป่วยที่มีข้อห้ามในการผ่าตัด ได้แก่ ต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์มีขนาดเล็ก มีภาวะเลือดออกง่าย เป็นต้น
4. การผ่าตัดโครงสร้างใบหน้าและการส่งปรึกษาทันตแพทย์ พิจารณาในผู้ป่วยบางรายที่มีสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับเกิดจากโครงสร้างทางใบหน้าที่ผิดปกติ แพทย์จะมีการผ่าตัดโครงสร้างใบหน้าหรือการสบฟันที่ผิดปกติโดยการปรึกษาทันตแพทย์ร่วมด้วยเป็นพิเศษ
5. การปรับพฤติกรรม การรักษาดังกล่าวก่อนหน้านี้ข้างต้นต้องรักษาควบคู่กับการออกกำลังกาย การคุมอาหาร การมีสุขอนามัยการนอนหลับที่ดี เช่น ในผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนจะต้องคุมน้ำหนัก และลดความอ้วนร่วมด้วย การรักษาภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจจึงจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องหมั่นสังเกตลูกน้อยในขณะที่นอนหลับ ว่าบุตรหลานมีภาวะนอนกรน หรือหยุดหายใจในขณะที่นอนหลับหรือไม่ ซึ่งอาการเหล่านี้จะส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กในอนาคต ไม่เพียงแต่ในเรื่องของการเรียนเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงการเสียชีวิตของเด็กได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้หากลูกน้อยมีภาวะนอนกรน พ่อแม่ ผู้ปกครองควรพาเด็กเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านกุมารเวชเพื่อให้แพทย์วินิฉัยและประเมินอาการดังกล่าวต่อไป.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: ผศ.พญ.กนกกาญจน์ สันกลกิจ อาจารย์หน่วยระบบหายใจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เรียบเรียง: นางสาวนันทพร ระบิน
ภาพ / ข่าว : กลุ่มงานสื่อสารองค์กร
งานประชาสัมพันธ์
คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่