mourning ribbon

“ประสาทหู“ เสื่อมแล้ว เสื่อมเลย รักษาให้หายไม่ได้ แต่! ป้องกันได้… 3 มีนาคม วันการได้ยินโลก (World Hearing Day)

วันการได้ยินโลก (World Hearing Day) ตรงกับวันที่ 3 มีนาคมของทุกปี ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดขึ้น เพื่อรณรงค์กระตุ้นเตือนให้ประชาชนทั่วโลกหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจการได้ยินของตนเอง เพื่อป้องกันการสูญเสียการได้ยินในทุกช่วงวัยของชีวิต และส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อการดูแลหูและการได้ยินที่เหมาะสม
ปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตของประชากรทุกเพศ ทุกวัย จากสถิติการออกใบรับรองความพิการทั้งหมด ความพิการจากการได้ยินเป็นความพิการที่มีความชุกอันดับสองรองจากความพิการด้านการเคลื่อนไหว นับเป็น 20% ของผู้พิการทั้งหมด และภาวะสูญเสียการได้ยินจากเสียงดัง มีความชุกเป็นอันดับสองรองจากภาวะหูเสื่อมในผู้สูงอายุ เดิมภาวะนี้มักเกิดในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติงานภายใต้เสียงรบกวน ซึ่งมีกฎหมายควบคุมระดับเสียง และการดูแลสุขภาพการได้ยินอย่างชัดเจน แต่จากวิถีชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน ทำให้กลุ่มอายุของคนไข้เหล่านี้ลดลง มีผู้ที่สัมผัสกับเสียงรบกวนต่อเนื่องมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้หูฟัง หรือการอยู่ในสถานที่ๆมีเสียงดัง ข้อมูลจาก British Medical Journal (BMJ) ระบุไว้ว่า24%ของประชากรอายุ 24-34 ปี มีการฟังที่ไม่ปลอดภัย จากอุปกรณ์ฟังเสียงส่วนตัว เช่น หูฟัง ลำโพง เป็นต้น และ 48% ของประชากรกลุ่มนี้ มีการสัมผัสสถานที่ที่มีเสียงดังกว่าที่ควรจะเป็น
เสียงที่ไม่เหมาะสมสำหรับการได้ยินคือเสียงที่ดังมากเกินไป หรือการสัมผัสเสียงกวนเป็นเวลานานเกินไป เราไม่ควรสัมผัสเสียงที่มีระดับความดังมากกว่า 85 เดซิเบล(เอ) เป็นเวลาติดต่อกันมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน
การฟังอย่างปลอดภัย ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ตามบทความเรื่อง “ฟังอย่างปลอดภัย” ของ​ รศ.พญ.สุวิชา แก้วศิริ ประกอบไปด้วย 1.ลดระดับเสียง 2.หลีกเลี่ยงความดัง 3.ลดเวลาการฟัง 4.ตรวจพลังการได้ยิน การลดระดับเสียง คือการเปิดเสียงดังไม่เกิน 60% ของความดัง การหลีกเลี่ยงเสียงดัง หรือการใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น Ear plug (ลดได้ 15-30 เดซิเบล) หรือ Ear muff (ลดได้ 30-40 เดซิเบล) ที่ได้มาตรฐานอย่างถูกวิธี ลดเวลาการฟัง คือการลดระยะเวลาการสัมผัสเสียง และสุดท้ายคือตรวจพลังการได้ยิน สามารถตรวจระดับความดังเสียงรบกวนที่เราได้เจอด้วยตัวเองจากการใช้application เช่น Sound meter หรือ NIOSH และคัดกรองการได้ยินของเราด้วยตัวเองเบื้องต้นได้ด้วย application hearWHO ขององค์การอนามัยโลก และปรึกษาแพทย์เมื่อสงสัยว่ามีความผิดปกติ
หากมีความจำเป็นต้องใช้หูฟัง ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ให้เลือกใช้หูฟังที่มีระบบตัดเสียงรบกวน เพื่อลดความดังของเนื้อหาที่เราต้องฟัง เนื่องจากจะไม่ต้องเปิดระดับเสียงสู้กับเสียงรบกวนรอบข้าง แต่ปัจจุบันเริ่มมีรายงานข้อสังเกตเกี่ยวกับความผิดปกติของการประมวลผลของสมอง เพื่อเข้าใจเนื้อหาของการฟัง จากการใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนมากเกินไป ซึ่งต้องติดตามการศึกษาที่จะออกมาเพื่อยืนยันในอนาคต ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียง ตามคำแนะนำที่กล่าวไปข้างต้นยังคงสำคัญที่สุด ทั้งนี้อยากให้ทุกคนตระหนักในเรื่องของการได้ยิน เนื่องจากหูนั้นเสื่อมแล้วเสื่อมเลย รักษาให้หายไม่ได้ แต่ป้องกันได้ หากเราเริ่มดูแลการได้ยินของเราตั้งแต่วันนี้ จะสามารถมีสุขภาพการได้ยินที่ดีไปได้ตลอดชีวิต
ข้อมูลโดย อ.พญ.นาภิชา สุไพที อาจารย์ประจำภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช.
เรียบเรียงโดย : นางสาว.ธัญญลักษณ์ สดสวย
รับฟังรายการPodcasts เพิ่มเติมได้ที่ช่องทาง : https://cmu.to/9UA3m