
ภาพจิตใจของคนเรามักถูกท้าทายและได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะภัยพิบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์หรือควบคุมได้ เหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและก่อให้เกิดการสูญเสียที่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียด้านร่างกาย การบาดเจ็บ การสูญเสียทรัพย์สิน หรือแม้แต่การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพจิตใจ ทำให้ผู้ที่เผชิญเหตุการณ์ต้องปรับตัวกับความทุกข์ทรมานและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ในช่วงปีนี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยพิบัติหลายครั้ง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภัยจากธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ไฟป่า หรือพายุ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว หลายคนไม่สามารถเตรียมความพร้อมทั้งด้านจิตใจและด้านวัตถุได้ทัน ทำให้ความเครียดและความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่คนต้องเสียบุคคลที่รัก การสูญเสียบ้านเรือน หรือทรัพย์สินที่สำคัญ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเศร้าและความเจ็บปวดทางจิตใจอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ การให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูสภาพจิตใจในช่วงหลังภัยพิบัติเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กับการฟื้นฟูสภาพทางกาย การรับมือกับความสูญเสียต้องการเวลา การสนับสนุนจากครอบครัว และการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาเป็นสิ่งที่สำคัญในการฟื้นฟูสุขภาพจิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบ
เมื่อเกิดสถานการณ์น้ำท่วมซึ่งสร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ผู้ประสบภัยมักเผชิญกับผลกระทบทางด้านจิตใจที่แสดงออกผ่านปฏิกิริยาทั้งทางกายและจิตใจอย่างหลากหลาย โดยปฏิกิริยาเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในภาวะวิกฤต และการทำความเข้าใจและรับรู้ถึงผลกระทบในแต่ละด้านจะช่วยให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น ปฏิกิริยาทั่วไปของผู้ประสบภัยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้านดังนี้ :
1. ด้านร่างกาย
ผู้ประสบภัยอาจแสดงอาการทางกายที่เกิดจากความเครียดและความกลัวจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งอาจรวมถึง :
• ใจสั่น หัวใจเต้นแรง
• มือสั่นหรือรู้สึกอ่อนแรง
• ปวดหัว หรือรู้สึกเวียนศีรษะ
• คลื่นไส้ หรืออาเจียน
• ไม่สามารถกินอาหารได้ หรือมีการเบื่ออาหาร
• นอนไม่หลับ หรือมีความผิดปกติในการนอน
2. ด้านอารมณ์
ในช่วงเวลาที่เจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและน่ากลัว ผู้ประสบภัยมักมีการตอบสนองทางอารมณ์ที่หลากหลาย ซึ่งอาจประกอบด้วย :
• ความวิตกกังวล หรือความกลัวเกี่ยวกับความปลอดภัยในอนาคต
• ความรู้สึกตกใจ ไม่พร้อมรับมือกับสถานการณ์
• หมดหวัง หรือรู้สึกท้อแท้เมื่อเจอความสูญเสีย
• อารมณ์เศร้า หรือรู้สึกว่าชีวิตไร้ทิศทาง
3. ด้านพฤติกรรม
• ปฏิกิริยาทางจิตใจอาจสะท้อนผ่านพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจรวมถึง:
• เก็บตัว ไม่อยากพบปะหรือพูดคุยกับผู้อื่น
• หงุดหงิดง่าย หรือมีอารมณ์ก้าวร้าวมากขึ้น
• มีการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้คิดถึงเหตุการณ์น้ำท่วม
• ไม่สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
4. ด้านการรับรู้
ผู้ประสบภัยอาจรู้สึกว่าความสามารถในการรับรู้และการจัดการสถานการณ์ลดลง ซึ่งอาจมีลักษณะดังนี้:
• สับสน ไม่สามารถวางแผนหรือตัดสินใจได้ตามปกติ
• ไม่สามารถคาดการณ์หรือประเมินสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• รู้สึกหลงทาง หรือไม่สามารถหาทางออกจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้
ภาวะเครียดหลังภยันตราย หรือที่เรียกว่า Post-Traumatic Stress Disorder (PTSD) เป็นภาวะทางจิตใจที่เกิดขึ้นหลังจากการเผชิญกับเหตุการณ์ที่รุนแรงและน่ากลัว เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ อุบัติเหตุร้ายแรง หรือเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบในหลายด้าน ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม ซึ่งมักทำให้ผู้ที่ประสบเหตุการณ์ยังคงรู้สึกเหมือนเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นอยู่ แม้ว่าเหตุการณ์จะจบไปแล้วก็ตาม
ลักษณะอาการหลักๆ ของภาวะเครียดหลังภยันตราย ได้แก่ :
1. การกลับมาทบทวนหรือรู้สึกถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ
• ผู้ประสบภัยอาจรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นยังคงเกิดขึ้นอยู่ ราวกับว่าไม่สามารถ “ปล่อยวาง” จากความทรงจำหรือภาพจำเหล่านั้นได้
• อาจมี ภาพหลอน (flashbacks) หรือความฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์เดิม
• ความรู้สึกกลัวหรือไม่สบายใจจะถูกกระตุ้นเมื่อคิดถึงหรือได้รับรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น เช่น การได้ยินเสียงที่คล้ายคลึงกันหรือเห็นสถานที่ที่คล้ายกัน
2. การหลีกเลี่ยงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง
• ผู้ประสบภัยอาจพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เช่น ไม่อยากกลับไปยังพื้นที่ที่เคยประสบภัยน้ำท่วม
• หลีกเลี่ยงการพูดคุยหรือคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการปิดกั้นอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับความทรงจำนั้นๆ
3. การตื่นตัวมากเกินไป (Hyperarousal)
• ผู้ประสบภัยอาจมีอาการตื่นตกใจง่ายต่อสิ่งกระตุ้นเล็กน้อย เช่น เสียงดัง หรือการสัมผัสที่ไม่คาดคิด
• รู้สึกระแวง หรือมีอาการตื่นเต้นเกินควรเมื่อเผชิญกับสิ่งที่อาจกระตุ้นความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น
• การมีปัญหาในการนอนหลับหรือมีความฝันที่รบกวนบ่อยครั้ง
4. การแยกตัวหรือรู้สึกเฉยเมยต่ออารมณ์
• ผู้ที่มีภาวะนี้อาจมีแนวโน้มที่จะแยกตัวจากสังคม ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมถึงครอบครัวหรือเพื่อนสนิท
• อาจมีอาการ ไร้อารมณ์ (emotional numbness) เช่น ไม่รู้สึกถึงความสุข ความเศร้า หรือความรักเหมือนก่อน
• รู้สึกห่างเหินจากคนรอบข้าง หรือไม่สามารถเชื่อมโยงอารมณ์กับกิจกรรมที่เคยชื่นชอบได้อีกต่อไป
5. อาการทางกายและจิตใจที่ไม่สบาย
• ความเครียดที่ต่อเนื่องสามารถทำให้เกิด อาการทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หรือความดันโลหิตสูง
• มีอาการ วิตกกังวล (anxiety) หรือ อาการซึมเศร้า (depression) ร่วมด้วย ทำให้รู้สึกหมดกำลังใจ ไม่มีกำลังใจทำกิจกรรมต่างๆ
• ปัญหาในการมีสมาธิและการจดจำเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาจมีการสับสนและไม่สามารถวางแผนได้ดีเหมือนเดิม
การรับมือกับภาวะที่มีความเครียดหรือความกดดันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญในบางช่วงของชีวิต การมี “สติ” เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับสถานการณ์เหล่านั้นได้ดีขึ้น สติเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถมองเห็นภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายในตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อเราเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด การรวบรวมสติกลับมาให้อยู่กับปัจจุบันเป็นขั้นตอนแรกที่จะช่วยให้เรารู้สึกมั่นคงขึ้น การมีสติจะช่วยให้เราสังเกตความคิดและอารมณ์ของตัวเอง และทำให้สามารถแยกแยะสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น วิธีการรวบรวมสติที่แนะนำมีหลายวิธี เช่น
•การกำหนดลมหายใจ : โฟกัสไปที่การหายใจเข้าและออกเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สติคืนกลับมาได้ง่ายๆ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกถึงปัจจุบันมากขึ้น
•การสัมผัสตัวเอง : การกอดตัวเอง การเคาะมือไปมา เป็นอีกวิธีที่ช่วยดึงสติให้กลับมาอยู่กับร่างกายของเรา
•การฟังเพลงหรือบทสวด : ใช้เสียงที่สบายใจเพื่อนำสติกลับมา
•การพูดคุยกับคนใกล้ชิด : การแบ่งปันความรู้สึกกับคนที่เรารู้สึกปลอดภัยสามารถช่วยให้เรารู้สึกเบาลงได้

การมีสติไม่เพียงแต่ทำให้เรารู้สึกสงบขึ้น แต่ยังช่วยให้เราเห็นขั้นตอนการแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น การมีสติทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น โดยสามารถมองเห็นอารมณ์และความคิดของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น
ตระหนักถึงปัญหาและความเครียดที่กำลังเกิดขึ้นโดยไม่ตระหนกกับมัน ทำให้สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตระหนักถึงความเครียดและการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ : การยอมรับว่าเรากำลังเครียดหรือมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอนแรกในการจัดการปัญหา การรู้ตัวเองจะช่วยให้เราไม่รู้สึกกดดันตัวเองเกินไป
•จัดการกับอารมณ์ : หลังจากที่เราตระหนักถึงอารมณ์ของตัวเองแล้ว การหาวิธีจัดการกับอารมณ์ เช่น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย หรือกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เป็นวิธีที่ช่วยปรับสภาพจิตใจให้ดีขึ้น
•พูดคุยกับคนรอบข้าง : การแบ่งปันความรู้สึกและพูดคุยกับคนที่เราไว้วางใจจะช่วยให้เราได้รับมุมมองใหม่ๆ และรู้สึกไม่โดดเดี่ยวในการเผชิญปัญหา
สรุปแล้ว การมีสติไม่เพียงแต่ทำให้เราสามารถรับมือกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้เราเห็นและเข้าใจตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สามารถจัดการกับชีวิตในทุกๆ ด้านได้ดียิ่งขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ผศ.นพ.อวิรุทธ์ อุ่นอารมย์ อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เรียบเรียง: นางสาวนันทพร ระบิน
ภาพ / ข่าว : กลุ่มงานสื่อสารองค์กร
งานประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
550